ไม่ง่ายนักที่จะรวบรวมคนระดับหัวกระทิของวงการปาล์มน้ำมันมานั่งจับเข่าคุยกันครึ่งค่อนวัน
เพราะแต่ละท่านล้วนแล้วแต่มีภาระหน้าที่อีกมากมาย และแต่ละท่านก็อยู่ในพื้นที่นอกเขตกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่
นิมิตหมายอันดีที่เราได้คนในวงการปาล์มน้ำมันมาประมวลองค์ความรู้ต่างๆด้านปาล์มน้ำมัน
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
ตลอดจนแนวทางในการแก้ปัญหาที่ควรจะเกิดขึ้น
ผู้เข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ประกอบไปด้วย
สุคนธ์ เฉลิมพิพัฒน์ รองนายกสมาคมชาวสวนปาล์มจังหวัดสุราษฎร์ธานี,
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิปาล์มน้ำมันแห่งชาติ, น.ต.ถนิต
พรหมสถิต ประธานบริหารสมัชชาเกษตรกรแห่งชาติ,
นายอรชุน แก้วกังวาน ผู้ผลิตเครื่องหีบน้ำมันสบู่ดำอาชีพ, พล.ต.ต.ศานิตย์
มีพันธุ์ ที่ปรึกษากิตมศักดิ์นิตยสารพืชพลังงาน, นายอธิราษฎร์ ดำดี
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดำดีไบโอดีเซล จำกัด. นายชลิต ระวังภัย ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดระนอง,
นายสัญญา ปานสวี นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดชุมพร, นายอำพล แดงบรรจง บริษัท สินธุเศรษฐ์ จำกัด, นายสุระ ตั๊นวิเศษ ฝ่ายส่งเสริมวิชาการ
ตัวแทนจาก บริษัท สุขสมบูรณ์ น้ำมันปาล์ม จำกัด, นายมนัส พุทธรัตน์,
นายเทวิน เจริญนนท์สิทธิ์ แกนนำชาวสวนปาล์มน้ำมันหนองเสือ, นายสุวิทย์
พยัพพานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดระนอง และท่านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เรื่องราวมากมายที่ได้ถูกนำมาถ่ายถอดและประมวลในที่เสวนาในกรอบเวลากว่า
5 ชั่วโมง ผู้เขียนขออนุญาตสรุป 5ประเด็นเด่นๆมาให้ทุกท่านได้ติดตามความเคลื่อนไหวและทิศทางที่ระดับแกนนำได้ปรึกษากันมาให้ทราบโดยเริ่มจาก
1.ทางรอดของการทำเกษตรภายใต้กรอบการเมือง
เปิดประเด็นการเสวนาด้วยเรื่องของภาคการเมืองที่เน้นว่า
ตราบใดที่ยังประกอบกิจการ หรือทำธุรกรรมต่างๆภายในประเทศไทย พ่อค้า แม่ค้า
หรือนักธุรกิจทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้กรอบการเมืองทั้งสิ้น
ดังนั้นการเปิดเวที เพื่อประมวลองค์ความรู้และแนวทางต่างๆ ให้เป็น ช่องทางเลือก และ ช่องทางรอด ของคนภาคเกษตรโดยเฉพาะเรื่องของ ปาล์มน้ำมัน เพื่อใส่เข้าไปในอำนาจรัฐ
นับว่าเป็นการจุดประกาย และกระตุ้นให้เกษตรกรตื่นรู้ระบบทุน ซึ่งทางบอร์ดปาล์มได้ไฟเขียวให้มีการยกร่าง
พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันแห่งชาติออกมา
น.ต.ถนิต พรหมสถิต ประธานบริหารสมัชชาเกษตรกรแห่งชาติ
นักสู้ที่ลุยมาทุกสนามเพื่อเรียกร้องความถูกต้อง โดยเฉพาะในภาคของการเกษตร กล่าวเสริมว่า การทำเกษตรเพรียวๆ หรือเกษตรประณีตส่วนมากไปไม่รอด และยิ่งถ้าเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมเกษตรอย่างเดียวโดยไม่มีเงื่อนไขอื่น
“มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง” แกนนำเกษตรกร หรือ เกษตรกรเองต้องกลับมามองว่าทำอย่างไรให้อยู่ได้
เมื่อต้องเข้าอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร หรือ การเกษตรอุตสาหกรรม ทุกเงื่อนไขต้องอยู่ที่เกษตรกร
นั่นหมายความว่า ทุกภาคส่วนของการต่อรองต้องอยู่ที่เกษตรกรด้วย เช่น การเมืองของปาล์มน้ำมัน
ข้อเสนอที่เรียกร้องต้องตั้งกติกาว่า หากเมื่อได้เสนอแล้วต้องได้ตามที่เสนอ
ซึ่งตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าข้อเรียกร้องและข้อเสนอนั้น ต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม
เป็นต้น
“จากประสบการณ์ที่ผมอยู่ในวงการนี้
มีอะไรหลายๆอย่างที่อยากจะเรียนให้ทราบ เราพูดกันมาหลายเวที และก็พูดกันมานานเกี่ยวกับเรื่องของปาล์มน้ำมัน
ที่ผ่านมาทั้งๆที่โรงงานไบโอดีเซลสู้กันแบบเลือดตกยางออก
เพื่อช่วงชิงวัตถุดิบเข้ากระบวนการหีบ จนละเลยถึงคุณภาพส่งผลให้ต้นทุนในกระบวนการหีบเพิ่มขึ้น
ขณะที่คุณภาพของ CPO ต่ำกว่ามาตรฐาน
ผลเสียย้อนกลับมาสู้เกษตรกรอีกเหมือนเดิม ซ้ำร้ายกว่านั้นมาตรการควบคุม
และบทลงโทษต่างๆไม่มี นั่นจึงทำให้ปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขสักที ผมเสนอว่าทำอย่างไรก็ได้ทำให้เกิดคลัสเตอร์ปาล์มน้ำมันขึ้นให้ได้
แล้วปัญหาดังกล่าวจะค่อยๆลดน้อยลง” เขากล่าว
2.การสร้างอำนาจภาคเกษตรกรด้วยการรวมตัวที่เข้มแข็ง
นายชลิต ระวังภัย ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดระนอง |
เมื่อพูดถึงการรวมกลุ่มคงขาดไม่ได้ด้านของสมาคมชาวสวนปาล์ม
ชมรม ต่างๆ พร้อมทั้งผู้นำที่เข้มแข็ง นั่นเป็นกลุ่มคนที่มีพลังในการต่อรองอย่างมาก
และจะยิ่งแข็งแกร่งกว่านี้ถ้าทุกสมาคมและทุกชมรมจับมือกันเป็นเครือข่าย
นายชลิต
ระวังภัย ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดระนอง ผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็นเกษตรกรต้นแบบตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การันตีด้วยผลงานการทำสวนปาล์มน้ำมันแบบผสมผสานจนสร้างรายได้เกือบล้านบาท/ปี
ไม่บ่อยนักที่บุคคลท่านนี้จะสบโอกาสเหมาะให้ทีมงานได้เชิญเข้าร่วมงานประชุม
หรือเสวนาต่างๆ เพราะด้วยภาระหน้าที่ที่อัดแน่นอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามประธานสภาเกษตรจังหวัดระนองยังปลีกตัวมาเข้าร่วมงานเสวนาของเราจนได้พร้อมย้ำถึงพลังในการร่วมตัวอย่างเข้มแข็ง
กล่าวถึงเรื่องการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองว่าเมื่อคณะนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการร่างพระราชบัญญัติ
เพื่อกำหมดมาตรฐานต่างๆทั้งระบบของปาล์มน้ำมัน ข้อเสนอต่างๆจะหนักแน่นพอต้องสร้างอำนาจในการต่อรองเกษตรกรต้องรวมตัวกันให้เข้มแข็งร่วมกับสภาเกษตรที่เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้นมั่นใจว่าเป็นเสียงที่รัฐบาลต้องฟัง
ด้าน
นายสัญญา ปานสวี นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดชุมพร ควบด้วยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบอร์ดปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
จุดที่เขายืนอยู่ถือว่าเป็นความหวังชาวสวนปาล์มได้มากทีเดียว
เพราะอย่างน้อยก็มีตัวแทนของเกษตรกรเข้าไปบอร์ดปาล์มบ้าง
ขุนศึกจากแดนใต้ท่านนี้เป็นอีกหนึ่งท่านที่เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้พี่น้องชาวสวนปาล์มอยู่ตลอด
และครั้งนี้ก็เช่นกันที่เขาได้ให้ความสำคัญแม้ว่าจะเป็นเสวนาที่ไม่ใหญ่โตเท่าไรแต่จากที่ผู้เขียนได้ยินคำพูดจากเขาว่า
“การประชุมทุกครั้งย่อมมีความสำคัญเสมอ แม้แต่การนั่งปรึกษากันเพียง 2-3 คนก็ยังสำคัญ” และนั่นจึงเห็น นายสัญญา ปานสวี
นั้นอยู่ในงานเสวนาครั้งนี้ด้วย
นายสัญญา ปานสวี นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดชุมพร |
นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดชุมพร
เป็นนักต่อสู้อารมณ์ดีเขาสามารถกู้สถานการณ์ตรึงเครียดในที่ประชุมให้กลับมามีเสียงหัวเราะได้ตลอด
ด้วยลีลาการเสวนาอันเป็นประโยชน์ที่แฝงไปด้วยมุขเปรียบเปรยที่เรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้นั้นไม่ได้ทำให้เรื่องที่นำเสนอออกมาเป็นเรื่องไร้สาระ
ในทางกลับกันเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นข้อมูลที่น่าสนใจทั้งนั้น
นายสัญญา
เปิดประเด็น เรื่องที่ 1ในที่ประชุมว่า “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” นั่นคือ ต้องการให้เกษตรกรได้มีอำนาจที่จะพัฒนาในระบบประชาธิปไตย
ถ้าไม่มีอำนาจ เกษตรกรก็ไม่สามารถเจริญก้าวหน้า หรือควบคุมเศรษฐกิจได้
ทำอย่างไรที่จะให้เกษตรกรเหล่านั้นได้มีโอกาสที่จะพัฒนาของภาคประชาชนมีองค์กรของภาครัฐเข้าไปตั้งโดยเป็นสภาพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง
ซึ่งหน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลแต่เกษตรกรจัดตั้งทีมงานขึ้นมาดูแลกันเอง เป็นขุมกำลังในการระดมความคิด
คิดว่าจะได้ไปใช้ตรงนั้นให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าเมื่อใดเกษตรกรอ่อนแอและไม่มีโอกาสเรียนรู้
รับรู้ องค์ความรู้ที่จำเป็นทั้งหมดเขาก็จะไม่สามารถประสานความคิดเดิม
และตั้งอุดมการณ์ของภาคประชาชนให้เข้มแข็งได้เพราะฉะนั้นนายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันชุมพร
จึงมีความประสงค์อยากสร้างแนวทางที่จะปฏิบัติเป็นลำดับขั้น เพื่อจะไม่ให้ทำงานซ้ำซากวกไปวนมา
หลังจากนั้นควรมีการประเมินผลการทำงานทุกไตรมาสด้วย
เรื่องที่ 2 “กฎหมายปาล์ม”
เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างเร่งด่วนคือ
ปาล์มเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องกำหนดให้เป็นกฎหมายที่ใช้กับปาล์มน้ำมัน
เพราะว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจระดับชาติ อีกทั้งเป็นพืชพลังงานและพืชอาหาร
ตลอดจนเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่จะขยายบทบาทไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย
“ในฐานะที่ผมเป็นนายยกสมาคมชาวสวนปาล์มจังหวัดชุมพร ผมมองว่ากลไกลทั้งหมดนี้สมควรให้ภาครัฐเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง
เมื่อไม่มีการดูและหลายๆส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบปาล์มน้ำมันทั้งหมดจะเป็นเหมือนมือใครยาวสาวได้สาวเอา
ผมไม่อยากให้เป็นระบบทุนนิยม ผมต้องการให้เป็นแบบอยู่ร่วมกันระหว่างโรงงาน
และชาวสวน”
เรื่องที่ 3 “ลานเท”
งานที่อยู่นอกเหนือระบบของรัฐบาล
ทำให้ขาดผู้สอดส่องดูแลจึงทำให้มีปัญหาเรื่องของมาตรฐานของลานเท
บางลานมีการรดน้ำเพื่อแยกลูกร่วงแล้วนำไปส่งเข้าโรงสกัดที่เปิดรับซื้อลูกร่วง
ซึ่งกระบวนการนั้นก่อให้เกิดกรดจนส่งผลให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำ
เมื่อมองดูแล้วเหมือนกับการหาผลกำไรของลานเท จุดนี้ถือว่าเป็น “ความเสื่อม”
ที่ฉุดให้สู้กับต่างประเทศไม่ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเร่งตรวจสอบและพัฒนาโรงสกัดลูกร่วงให้มีคุณภาพมากกว่านี้
ผลกระทบสืบเนื่องที่เกิดขึ้นเมื่อลานที่รับซื้อลูกร่วงไม่มีกฎหมายควบคุม
เกษตรกรเมื่อเห็นว่ามีแหล่งรับซื้อก็จะเกิดการนำปาล์มไม่ได้คุณภาพมาจำหน่าย
เป็นเหตุให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำ แล้วนำจุดนั้นมาตั้งเป็นราคารับซื้อ
กดเกษตรกรลงไปอีก
เพราะฉะนั้นกลไกลตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำต้องมีกฎหมายควบคุมในการกำหนดราคาระหว่าง
เกษตรกร ลาน และโรงสกัด เป็นต้น
“มีโรงงานสกัดขนาดเล็ก ที่พร้อมรับซื้อในราคาสูง ลานก็รดน้ำเพื่อทำเป็นลูกร่วงมาขาย
ปัญหาควรที่จะเร่งเข้าไปดูแลตลอดจนเข้าไปดูแลโรงงานที่รับซื้อเฉพาะลูกร่วง
นอกจากนั้นโรงงานบางแห่งยังใช้ไม้ฝืนเป็นวัตถุดิบในกระบวนการย่าง
ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง
สิ่งเหล่านี้เราไม่ควรจะละเลยนะครับ”
มาตรฐานลานยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ไม่มีกฎหมาย
และข้อบังคับ จึงเห็นสมควรว่าต้องมีการผลักดันให้เกิดมีกฎหมายควบคุม
เรื่องที่ 4 “คณะกรรมการบอร์ดปาล์มควรจะมีอยู่ทุกภาค” ควรจะมีการปรับบอร์ดใหม่
และระบุในพระราชบัญญัติปาล์มด้วยว่าควรมีตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง
มีนโยบายแน่ชัดในด้านการบริหารน้ำมันเพื่อจะไม่ให้ขาดแคลน
“สำหรับในส่วนของราชการก็คิดว่ามันเป็นกลไกลหนึ่งของรัฐ
คณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติตั้งมา 1 สมัยไม่ได้ทำอะไรเลยนั่นไม่จริง ผลงานที่เห็นชัดๆคือ
สามารถสั่งน้ำมันนอกเข้ามา แล้วทำลายผลผลิตภายในประเทศได้อย่างชัดเจนเลยครับ
ผมเสนอว่าอย่าให้เข้ามา คุณสุคนธ์ก็ไปคัดค้าน ชาวสวนปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ฯ ระนอง
และชุมพรก็ทำหนังสือยื่นไปว่าอย่างเข้ามา ในที่สุดเข้ามาแล้วก็ยับเยินเลยครับ
จริงๆแล้วเรื่องนำเข้าน้ำมันผมว่ามันแก้ได้นะครับเราต้องดูปริมาณ CPO ภายในประเทศมีอยู่เท่าไรเราจะต้องแยก ถ้า 1.5 แสนตันให้คงสภาพไว้อย่านำไปทำ
B5 หรือพลังงาน อย่างนี้เป็นต้น”
“หากรอให้ขาดแคลนแล้วน้ำเข้านั่นเป็นการบริหารที่แย่สุดๆ
แล้วทั้งหมดมีอยู่ 4
กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของปาล์มน้ำมัน กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน ต่างคนต่างมีอำนาจ ต่างคนต่างใหญ่
น่าจะเอามาเป็นคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ จัดตั้งให้เป็นเหมือนกรมการข้าวไปเลย
เมื่อประชุมที่ทำเนียบ เวลาหาตัวก็หาไม่เจอ เวลาหาผู้รับผิดชอบไม่มีเจ้าภาพ
ไม่มีอะไรเลย ต่างคนต่างอยู่
ตรงนี้น่าจะมีการสรุปและจัดองค์กรของหน่วยงานให้ชัดเจน”
เรื่องที่ 5 “การแนะนำเกษตรกร”
เมื่อต้องการพัฒนาทั้งระบบก็ควรเริ่มต้นจากสายพันธุ์คือ
แนะนำเกษตรกรให้ทำความเข้าใจในเรื่องของสายพันธุ์ที่ถูกต้อง อย่างเช่น
ภาคใต้ปลูกปาล์มน้ำมันมาหลายช่วงอายุคน สายพันธุ์ดั้งเดิมมาจากประเทศมาเลเซีย
หลายคนอาจพูดว่าที่ภาคใต้ปลูกปาล์มได้นั่นเพราะเป็นพื้นที่ลักษณะภูมิประเทศ และ
สภาพอากาศที่ใกล้เคียงมาเลเซีย
แต่ว่าการให้ความรู้กับเกษตรกรส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นสายพันธุ์ลูกผสมเทเนอร่า
ซึ่งความจริงแล้วการแนะนำให้ความรู้ควรจะต้องมีอะไรเพิ่มมากกว่านั้น
คือสายพันธุ์ที่มาจากต่างประเทศ บางครั้งก็มาจากประเทศที่มีความแห้งแล้ง
หรือแม้แต่ในเขตประเทศที่มีอากาศหนาว
เพราะฉะนั้นควรจะแนะนำเกษตรกรเพิ่มเติมว่าเป็นสายพันธุ์ที่มาจากประเทศใด
มีการปรับปรุงพันธุ์มาจากประเทศใด
เพราะข้อมูลตรงนั้นจะทำให้เกษตรกรเขาตะหนักได้ว่าพื้นที่ของตนควรจะปลูกสายพันธุ์ใดถึงจะได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด
“ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ผมยกตัวอย่างมาทุกเรื่องก็เพื่ออยากให้เกิดการทำงานเป็นระบบ
และมาตรฐาน เพราะถ้าต่างคนต่างก็หาผลประโยชน์มันเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ต่างคนต่างชวนกันไปตาย นี่คือสิ่งที่กำลังหลงทางกัน ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ทำอย่างไรเราก็ไม่มีทางสู้กับต่างประเทศได้”
ติดตามต่อตอนที่ 2