Translate

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปลูก “หญ้าข่มคา” ในสวน เพิ่มน้ำหนักและผลผลิตปาล์มน้ำมัน


เรื่อง/ภาพ : พยัคฆ์ทมิฬ

จังหวัดชุมพรมีพื้นที่ในการปลูกปาล์มน้ำมันแหล่งใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทยรองจาก จังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี ดังนั้นวีถีต่างๆที่เป็นแนวทางในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันจึงมีให้ศึกษาหลายแง่มุม

            ความตั้งใจที่นำเสนอ อีกหนึ่งมุมมองที่หลายๆท่านมองข้ามไปในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันในครั้งนี้ เพื่อเป็นเสมือนทางลัดให้ทราบว่า ที่จริงแล้วการเพิ่มผลผลิตหรือลดการสูญเสียน้ำหนักของปาล์มน้ำมันที่ยังอยู่ในสวนทำอย่างไร ทั้งนี้ผู้เขียนได้เลือกพื้นที่ไปยัง จ.ชุมพร และได้ คุณสัญญา ปานสวี นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.ชุมพร เป็นผู้อำนวยความสะดวก พร้อมเดินทางเก็บข้อมูลจากเกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย

เช้าวันที่ 28 มิถุนายน 2555 ผู้เขียน พร้อมออกเดินทางไปยังสวนปาล์มน้ำมัน 20 ไร่ของ อาจารย์จรูญ ประดับการ อดีตข้าราชการครูวัย 63 ปี ที่หันมายึดอาชีพชาวสวนปาล์มน้ำมัน สร้างรายได้ช่วงบั้นปลายชีวิต ด้วยพื้นฐานของความเป็นครูทำให้เขาเป็นผู้หนึ่งที่เป็นเกษตรกรต้นแบบ และให้คำแนะนำในการจัดการสวนที่มีประสิทธิภาพพร้อมลดต้นการผลผลิตได้ดี 

ลักษณะใบของหญ้าข่มคาจะคล้ายใบไผ่
เกษตรกรผู้นี้มีความรู้ และประสบการณ์ในการดูแลจัดการสวนปาล์มน้ำมัน ได้ค้นหาวิธีการลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตในปาล์มน้ำมันของตนเอง หลากหลายวิธีการจนค้นพบว่าการรักษาความชื้นในดินจะสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำหนักในทะลายปาล์มได้

“ผมทำการสังเกตมานานแล้วพบว่า ถ้าเราตัดหญ้าสั้นๆเมื่อเข้าช่วงฤดูแล้ง เพียงเวลา 10 วัน ทำให้น้ำหนักของทะลายปาล์ม หายไป 100 กิโลกรัม คิดเฉลี่ยในปริมาณทั้งหมด 1,000 กิโลกรัม แต่ถ้าปล่อยให้หญ้ายาวพอประมาณ ไม่ดูรกมากเกินไปน้ำหนักที่จะหายไปมีเพียง 30-40 กิโลกรัม/1,000 กิโลกรัมเป็นอย่างมาก




                ข้อแนะนำ การรักษาความชื้นในดินได้ดีนั้นคือปล่อยให้มีวัชพืชขึ้นปกคลุมหน้าดินบ้าง โดยเลือกวัชพืชที่มีประโยชน์อย่างเช่น หญ้ากรวมคา หรือ หญ้าข่มคา และพืชคลุมดินตระกูลถั่ว

ปลูกหญ้าข่มคา ในสวนปาล์มน้ำมันประโยชน์นานัปการ และช่วยปรับระบบนิเวศ

ครูจรูญเล่าให้ฟังว่า ทางเขตภาคใต้จะพบหญ้าชนิดหนึ่งที่รู้จักทั่วไปว่า “หญ้าข่มคา” เกิดขึ้นภายในสวนไม้ผล ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ต่อมาได้มีการศึกษาเพิ่มเติมจนทราบถึงประโยชน์ของหญ้าชนิดดังกล่าวจึงทำให้เขาเกิดแนวคิดว่าจะทดลองนำหญ้าชนิดดังกล่าวมาปลูกไว้ภายในสวนบ้าง หากมีการเปลี่ยนแปลงภายในสวนที่ดีขึ้นก็เท่ากับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเป็นการพัฒนาด้านการจัดการสวนได้อีกระดับ แต่หากผลออกมาไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้จะทำลายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะหญ้าชนิดนี้เพียงแค่ถูกเหยียบย้ำมากๆก็ตายแล้ว

ครูจรูญกำลังแหวกกลุ่มหญ้าข่มคาออกเพื่ให้ดูร่องรอยการเข้าอยู่อาศัยของไส้เดือน

















หญ้าข่มคา หรือ ภาคใต้เรียกว่า หญ้าใบมัน เป็นพืชคลุมดินอย่างดี มักขึ้นในที่ร่มตามสวนไม้ผล สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน หรือในที่ที่มีฝนตกชุก พบมากทางภาคใต้ ลำต้นเล็ก สูงไม่เกิน 90 เซนติเมตร ใบยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร บริเวณฐานใบกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ลักษณะใบคล้ายใบไผ่ ช่อดอกมีลักษณะเป็นแฉก ลักษณะลำต้นเป็นเถาคลุมพืชต้นเตี้ยอื่น ๆ เช่น หญ้าคา ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หญ้าข่มคา” 

“คนทั่วไปเขารังเกียจ คิดว่ามันรก เกะกะ ทำรายยากและไม่มีประโยชน์ใดๆ ผมได้มาสังเกตการณ์เจริญเติบโต และศึกษาถึงข้อดี ข้อเสียของหญ้าชนิดนี้ จนทราบว่าสามารถช่วยควบคุมความชื้นในดินได้อย่างดี และที่สำคัญทำให้เกิดมีไส้เดือนมาก ซึ่งนับว่าเป็นผลดีที่เดียวหากนำมาปลูกในสวนปาล์ม”

ต่อมาคุณจรูญได้นำหญ้าข่มคามาปลูกที่สวนปาล์มเพื่อให้รักษาความชื้อภายในสวน โดยมีขั้นตอนการเตรียมต้นพันธุ์และการปลูกดังนี้

ขี้ไส้เดือนร่องรอยของการอยู่อาศัย ซึ่งส่วนนี้จะเป็นปุ๋ยแก่ต้นปาล์มได้อย่างดี

เริ่มจากหาหญ้าข่มคาจากแหล่งที่มี แล้วใช้จอบหรือเสียมขุดออกมา จากนั้นตัดต้นของหญ้าข่มคาขนาดความยาวประมาณ 1 คืบ เพื่อให้เกิดการแตกยอดใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้นแบ่งออกประมาณ 1 กำมือต่อการปลูก 1 หลุม สำหรับขั้นตอนการปลูก ควรมีการเตรียมพื้นที่สักเล็กน้อยด้วยการพรวนดินและตัดหญ้าเก่าออกให้หมด แล้วขุดหลุมปลูกให้ความห่างระหว่าต้นและแถวประมาณ 50 เซนติเมตร ที่สำคัญให้ห่างจากโคนต้นปาล์มน้ำมันประมาณ 1.50 เมตร

หญ้าข่มคาเป็นพืชที่มีความอดทนต่อการขาดน้ำได้ดี เพียงระยะเวลา 2 ปีก็สามารถเจริญเติบโตได้เต็มพื้นที่แล้ว ในการดูแลไม่ให้สูงเกินไปควรมีการตัดปีละครั้งโดยตัดให้สูงจากพื้นประมาณ 30 เซนติเมตร

ครูจรูญอธิบายถึงประโยชน์ของหญ้าชนิดนี้ให้ฟังต่อว่า หญ้าข่มคาสามารถรักษาความชื้นในดินไว้ได้นาน โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง ส่งผลให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาทำให้ปาล์มไม่ขาดน้ำ

นอกจากนั้นยังสามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศและในดิน ซึ่งมาจาก ปม หรือ ราก แล้วเปลี่ยนให้เป็นสารประกอบไนโตรเจนได้แก่ ไนเตรต และ เกลือแอมโมเนีย ที่มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี ปาล์มจะสามารถดูดซึมสารประกอบเหล่านนี้แล้วนำมาสังเคราะห์เป็นโปรตีน ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต

แน่นอนผลพลอยได้ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ตามมาในการปลูกพืชคลุมดิน เมื่อดินมีความชุ่มชื้นก็ส่งผลให้มีการเข้ามาอยู่อาศัยของไส้เดือน เมื่อมีไส้เดือนดินที่เคยแข่งแน่นก็กลายเป็นทำให้ดินมีความโปรงซุย รากปาล์มจึงหาอาหารได้ดีขึ้น พร้อมทั้งมูลไส้เดือนยังเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย


คุณจรูญยังบอกอีกว่าบริเวณใดมีหญ้าคาเกิดขึ้นแล้วนำหญ้าข่มคาไปปลูกเมื่อโตขึ้นหญ้าคาก็จะค่อยๆตายไป เพราะลักษณะนิสัยการเจริญเติบโตของหญ้าคาจะชอบในที่โล่งแจ้ง แต่เมื่อหญ้าข่มคาที่เป็นพืชเถาและเกิดติดกันจนทึบจึงทำให้หญ้าคาเจริญเติบโตไม่ได้ ซึ่งในแง่มุมนี้ยังช่วยให้ลดการใช้สารเคมีกำจัดหญ้าคา ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

“จากการทดทองไว้หญ้าคลุมดินให้ยาวหลายชนิด เพื่อทดสอบการเก็บความชื้น ปริมาณการเข้าอยู่อาศัยของไส้เดือน และความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน ปรากฏว่า หญ้ากรวมคา (ชื่อเรียกตามภาษาถิ่นใต้) หรือ หญ้าข่มคา มีปริมาณไส้เดือนมาอาศัยอยู่มากที่สุด ดินโปรง และอุ้มน้ำหรือเก็บความชื้นได้ดี” ข้อสรุปของการปลูกพืชคลุมดินที่ตอบโจทย์ได้ครบถ้วน




ครั้งต่อไป อาจารย์จรูญ ประดับการ จะมีเทคนิคการจัดการสวนปาล์มน้ำมันอย่างไรให้ได้ผลผลิตดีมากฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันต่อด้วยนะคะ

ข้อมูลจาก นิตยสารพืชพลังงาน ฉบับที่ 52/2555 หน้าที่ 32



วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปลูก “หญ้าข่มคา” ในสวน ช่วยเพิ่มน้ำหนักและผลผลิตปาล์มน้ำมัน



“ผมทำการสังเกตมากนานแล้วพบว่า ถ้าเราตัดหญ้าสั้นๆเมื่อเข้าช่วงฤดูแล้ง เพียงเวลา 10 วัน ทำให้น้ำหนักของทะลายปาล์ม หายไป 100 กิโลกรัม คิดเฉลี่ยในปริมาณทั้งหมด 1,000 กิโลกรัม แต่ถ้าปล่อยให้หญ้ายาวพอประมาณ ไม่ดูรกมากเกินไปน้ำหนักที่จะหายไปมีเพียง 30-40 กิโลกรัม/1,000 กิโลกรัมเป็นอย่างมาก”

ทางเขตภาคใต้จะพบหญ้าชนิดหนึ่งเกิดขึ้นภายในสวนไม้ผล ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ต่อมาได้มีการศึกษาเพิ่มเติมจนทราบถึงประโยชน์ของหญ้าชนิดดังกล่าวจึงทำให้ จรูญ ประดับการ วัย 63 ปี อดีตข้าราชการครูที่หันมายึดอาชีพชาวสวนปาล์มน้ำมัน พร้อมทั้งเป็นผู้หนึ่งที่เป็นเกษตรกรต้นแบบในการจัดการสวนที่มีประสิทธิภาพพร้อมลดต้นการผลผลิตได้ดี นำ “หญ้าข่มคา” มาปลูกภายในสวนปาล์มของตน




“คนทั่วไปเขารักเกียจ คิดว่ามันรก เกะกะ ทำรายยากและไม่มีประโยชน์ใดๆ ผมได้มาสังเกตการณ์เจริญเติบโต และศึกษาถึงข้อดี ข้อเสียของหญ้าชนิดนี้ จนทราบว่าสามารถช่วยควบคุมความชื้นในดินได้อย่างดี และที่สำคัญทำให้เกิดมีไส้เดือนมาก ซึ่งนับว่าเป็นผลดีที่เดียวหากนำมาปลูกในสวนปาล์ม”

****ขอปล่อย ทีเซอร์ ออกมาเรียกน้ำย่อยก่อนแล้วกัน เนื้อหาเต็มๆจะนำมาลงเร็วๆนี้****


ครูจันทร์พันธุ์ปาล์ม แปลงเพาะและจำหน่ายต้นกล้าคุณภาพ ยอดขายพุ่งกว่า 5 หมื่นต้น/เดือน


เรื่อง/ภาพ : แทนไท ออนทัวร์

                 อาจจะเป็นเพราะกระแสทางด้านพลังงานกำลังมาแรง หรือ อาจจะเป็นราคา และความมั่นคงในรายได้ เป็นชนวนทำให้เกษตรกรหลายๆคนหันหน้ามาทำสวนปาล์มน้ำมันกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
                ในโซนพื้นที่ภาคอีสาน เหนือ กลาง หลายๆพื้นที่ที่เคยเห็นเป็นพื้นที่ปลูกพืชอื่นๆก่อนหน้านี้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นสวนปาล์มน้ำมันในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
     
           จากปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างของสวนปาล์มน้ำมันน้อยใหญ่ ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจด้านเพาะกล้าปาล์มน้ำจำหน่ายมันครึกครื้น จึงน่าเป็นห่วงเกษตรกรรายใหม่ที่อาจจะยังไม่รู้ทันพ่อค้าหัวใสที่สบโอกาสหาเงินด้วยการเก็บเมล็ดปาล์มใต้โคนมาเพาะจำหน่ายให้
                จึงถือโอกาสนี้แนะนำแปลงเพาะที่ได้รับการไว้วางใจจากเกษตรกร และมีการรองรับจากทางกรมวิชาการอย่างถูกต้องมาเสนอให้ได้ศึกษาข้อมูลไปพร้อมๆกัน ผู้เขียนเดินทางไปที่ แปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมันครูจันทร์พันธุ์ปาล์ม เพื่อเข้าเก็บข้อมูล และชมแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงของเกษตรกรหลายๆหลังจากซื้อไปปลูกแล้วได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก 

                แปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน ครูจันทร์พันธุ์ปาล์ม ตั้งอยู่ที่ 161 หมู่ 7 ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร ดำเนินกิจการโดย คุณนวพรรณ แก้วนาโพธิ์ วัย 71 ปี อดีตข้าราชการครูที่หันมาจับอาชีพเพาะกล้าปาล์มน้ำมันหลังจากเกษียร
จากการสอบถามทราบว่า อดีตคุณครูท่านนี้เริ่มต้นทำแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมันทั้งๆที่ไม่เคยรู้ว่าปาล์มน้ำมันนั้นมีลักษณะอย่างไร แต่เพราะเห็นว่าผู้ที่ชักชวนนั้นเชี่ยวชาญด้านปาล์มน้ำมันโดยตรงจึงได้ตัดสินใจลองดู ประกอบกับวาดหวังว่าให้เป็นงานอดิเลกทำหลังเกษียรจากราชการครู



“เมื่อปี 2541 ได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับด้านปาล์มน้ำมันของกรรมวิชาการท่านหนึ่ง เขาชวนให้ทำแปลงเพาะต้นกล้าปาล์มน้ำมัน ตอนแรกก็ไม่รู้จักเลยต้นปาล์มน้ำมันเป็นอย่างไร เพราะก่อนหน้านั้นรับราชการครู แต่เห็นว่าเขาชวนก็ทำให้อยากศึกษาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้ ในที่สุด มีเงินทุนได้ก้อนหนึ่ง ก็ตัดสินใจทำ ตลอดระยะเวลาที่เริ่มกิจการก็ได้รับคำแนะนำนักวิชาการคนดังกล่าว กล้าปาล์มที่ทำออกมาตอนนั้นสวยมาก เขาเป็นคนแนะนำสายพันธุ์ให้ด้วย จำได้ว่าเป็นสายพันธุ์คอสตาริกา เขาบอกว่ามีคุณสมบัติเฉพาะสายพันธุ์คือ เปลือกหนา กะลาบาง ให้ผลผลิตเร็ว ปริมาณผลผลิตดี อายุการเก็บเกี่ยวสูง เวลาเราขายเราก็จะบอกลูกค้าตามที่เขาแนะนำแบบนี้มาตลอด” 

แปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมันในรุ่มเริ่มต้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยงบประมาณ 1.5 ล้านบาท ซึ่งนำมาดำเนินการต่างๆ อาทิ ปรับสภาพพื้นที่ ซื้อเมล็ดพันธุ์ และอุปกรณ์เพาะต่างๆ ตลอดจนการติดตังระบบน้ำที่มีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการด้านเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน จะได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านปาล์มน้ำมันโดยตรง

หลังจากเพาะและมีการคัดต้นกล้าออกจนได้ต้นกล้าปาล์มน้ำมันคุณภาพพร้อมจำหน่าย ไม่นานก็เริ่มมีเกษตรกรให้ความไว้วางใจมาซื้อต้นกล้าที่แปลงมากขึ้นจากการบอกต่อๆกันของเกษตรกรเอง โดยไม่ได้มีการทำการโฆษณาแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งนั้นมาจากต้นกล้าปาล์มที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง เป็นพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี จนทำให้ครูจันทร์มองหาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาเพาะเพื่อให้เกิดความหลากหลายสายพันธุ์ให้เกษตรกรได้เลือกไปปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมกับสายพันธุ์นั้นๆ

ต้นกล้าปาล์มน้ำมันคุณภาพจำนวนมาก ที่เพาะไว้เตียมส่งมอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

“หลังจากขายไปได้ไม่นานคนซื้อเขาก็ถามถึงพันธุ์อื่นๆบ้างเราก็ต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ก้าวขึ้ง ในที่สุดมาได้ปาล์ม ของศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี คือ สายพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 และสุราษฎร์ธานี 7 เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา”

เมื่อความไว้วางใจจากเกษตรกรตอบรับมาอย่างดีมากขึ้น ทำให้แปลงเพาะดังกล่าวเป็นที่กล่าวถึงต่อๆกันมากจนได้ไต่ระดับเป็นแหล่งเพาะที่ได้คุณภาพมาตรฐานระดับแนวหน้าใน อ.สวี จ.ชุมพร ได้ในเวลาไม่นาน ทำให้ยอดจำหน่ายกล้าปาล์มในแต่ละปีเฉียดๆแสนต้น อย่างล่าสุดในปี 2555 ภายในเดือนเดียวทางแปลงสามารถจำหน่ายต้นกล้าปาล์มน้ำมันได้กว่า 5 หมื่นต้น ทั้งนี้ยังไม่นับรวมยอดสั่งจองที่มีอีกจำนวนมากทำให้ทางแปลงเกิดหาหาด้านการผลิตที่ไม่ทันต่อความต้องการของเกษตรกร

“ปริมาณที่จำหน่ายออกในแต่ละปีอย่างล่าสุด 5 หมื่นกว่าต้น ภายในเดือนเดียวก็จำหน่ายหมด ทางแปลงไม่สามารถผลิตต้นกล้าทัน เร่งกันจนเหนื่อย เหนื่อยมากพอสมควรในการทำต้นกล้า แต่ว่าเรามารู้ดีใจและสบายใจหลังจากที่ลูกค้านำไปปลูกแล้วบอกว่าไม่มีต้นกระเทยเลย” เป็นความรู้สึกของผู้ขายที่แม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็ยังยิ้มได้หลังจากได้ทราบว่าต้นกล้าปาล์มที่พยายามคัดสรรค์อย่างดีเป็นที่ถูกใจของผู้ปลูก

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อความต้องการปลูกมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แหล่งจำหน่ายเมล็ดพันธุ์อย่างศูนย์วิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันจังหวัดสุราษฎร์ธานีเองก็เกิดปัญหาที่ว่า ไม่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ให้ทางแปลงเพาะทันเช่นกัน




“ปัจจุบันเกษตรกรหันมาสนใจ และปลูกปาล์มกันมากขึ้น จึงทำให้ตอนี้เกิดปัญหาที่ว่าทางศูนย์วิจัยฯ ก็ไม่สามารถผลิตเมล็ด และต้นกล้าออกมาให้ทางแปลงเราได้ทันเช่นกัน ก็เกือบปีมาแล้วนะสำหรับพันธุ์ของทางราชการ แต่พันธุ์อื่นๆที่มีทางแปลงซื้อมาจากบริษัทเอกชนก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่ใน 2 ปีให้หลังมานี้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มกันมากขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะทางแถบภาคอีสาน ตะวันออก และเหนือตอนล่าง ซึ่งมีเกษตรกรในโซนพื้นที่ดังกล่าวโทรมาสอบถาม ซื้อ ต้นกล้าจากแปลงเราเช่นกัน”

ครูจันทร์ให้เล่าให้ฟังต่อว่าพื้นที่แปลงเพาะทั้งหมดมี 11 ไร่ และภายในปี 2555 นี้มีโครงการจะขยายพื้นที่ขึ้นอีก หลังจากที่ทราบข้อมูลเบื้องต้นจากหลายๆกระแสมาว่า หลังจากที่เกษตรกรหลายได้เลือกปลูกพืชมาหลายชนิด แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน บทสรุปคือ ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่ให้มูลค่าตอบแทนที่มากกว่า เพราะปลูกไปเพียง ปีครึ่ง หรือ 2 ปี ก็สามารเก็บผลผลิตได้แล้ว หลังจากนั้นเก็บผลผลิตๆได้ทุก 15 วัน อายุการเก็บเกี่ยวนานกว่า 20-25 ปี จึงทำให้มีความต้องการปลูกของเกษตรกรสูงอย่างต่อเนื่อง

ความสุขที่ทำให้เกษตรกรเขาประทับใจได้ตลอดเวลา 10 กว่าปี ที่อดีตข้าราชการครูผู้ที่ไม่เคยรู้จักต้นปาล์มน้ำมัน เธอสู้ชีวิตพร้อมทั้งบริหารธุรกิจด้านเพาะและจำหน่ายต้นกล้าปาล์ม ยึดมั่นในความถูกต้อง ผลิตต้นกล้ามีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้านำไปปลูก จนได้รับผลตอบรับเป็นในทางที่ดีมีคุณภาพดี เกษตรกรที่ได้ซื้อไปปลูกมีการแนะนำกันแบบปากต่อปาก ทำให้ที่แปลงเพาะแห่งนี้มีลูกค้าอยู่ทุกภาคไม่ว่าจะเป็น เหนือ ใต้ ออก ตก


“ต้นกล้าที่ซื้อไปจากแปลงเรา เรารับผิดชอบ หากมีปัญหาอะไรเขาจะโทรมา เราก็ยินดีที่จะอธิบายให้เขาทราบ บางรายเขาไม่เข้าใจในเรื่องของต้นกล้าก็ต้องสอนกันผ่านทางโทรศัพท์ แม้อายุจะมากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไรแต่ว่าหัวใจที่มันอย่างจะให้ความถูกต้องแก่เกษตรกร ต้องมาทนนั่งดูแล ถึงจะมีคนงานดูแล 5 คนแล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นเกษตรกรเข้ามาซื้อกล้าที่สวนก็ทนไม่ได้ก็ต้องออกมานั่งคุย แม้ปัจจุบันนี้จะมีพันธุ์ดีๆราคาไม่แพงมากจำหน่าย แต่ยังมีเกษตรกรบางรายหลงผิดเก็บเมล็ดใต้โคนไปเพาะและปลูกเอง กลายเป็นพันธุ์ดวงดี พันธุ์ใต้โคน พันธุ์ดูใบไปก็มาก นั่นเพราะวิชาการเข้าไม่ถึงเขา”

ครูจันทร์เผยว่า ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่เริ่มให้ความสนใจปาล์มน้ำมันที่ทะลายเขียวมากขึ้น เพราะให้ผลผลิตดี ทะลายต่อต้นดก ลักษณะทะลายสวย และ เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง นอกเหนือจากนั้นยังช่วยให้ง่ายในการตัดผลผลิต เนื่องจากสีของทะลายจะบ่งบอกชัดเจน ซึ่งหากเป็นสีเขียวอยู่หมายความว่ายังดิบ ไม่สามารถตัดจำหน่ายได้ แต่หากทะลายเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไรนั่นแสดงว่าสุกพร้อมตัดจำหน่ายแล้ว ซึ่งทางแปลงก็ได้มีกาสั่งซื้อเมล็ดมาเพาะด้วยเช่นกัน

“ปาล์มที่ลูกเขียวเป็นปาล์มสายพันธุ์พรีเมี่ยม พันธุ์คุณภาพแต่เกษตรกรไม่เข้าใจ เมื่อก่อนลานบอกว่าไม่ซื้อเลย เป็นความเข้าใจไม่ถูกต้องของเกษตรกร ในกรณีปาล์มที่แสดงออกมาเป็นสีเขียว ต้องรอให้ผลออกเป็นสีส้มนั่นจึงสามารถตัดจำหน่ายได้ หายังมีสีเขียวอยู่เมื่อตัดแล้วนำไปจำหน่ายทำให้โรงงานไม่สามารถสกัดน้ำมันได้เพราะยังดิบอยู่และไม่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันเต็มที่ หรือเรียกง่ายๆว่ายังดิบอยู่นั่นเอง จึงทำให้ทางโรงงานและลานรับซื้อต่างๆคัดออกไม่รับซื้อ จึงทำให้เกิดกระแสที่ว่าโรงงานและลานรับซื้อไม่ซื้อปาล์มที่ให้ทะลายสีเขียวเป็นต้น” เจ้าของแปลงเพาะครูจันทร์พันธุ์ปาล์มอธิบายให้ฟังถึงความจริงของปาล์มทะลายเขียวที่เคยเป็นสายพันธุ์ไม่ได้ความสนใจจากผู้ปลูกในสมัยก่อน
(ซ้าย) คุณสัญญา ปานสวี (ขวา) คุณนวพรรณ แก้วนาโพธิ์ (ครูจันทร์)
ครูจันทร์กล่าวทิ้งท้ายในมุมมองของตนต่อส่วนร่วมว่า แปลงเพาะต้นกล้าที่ไม่ได้มาตรฐานยังไม่มีการตรวจสอบอย่างเคร่งคัดทำให้วงการปาล์มถอยหลัง ขอให้รัฐบาล หันมาดูเกษตรกรให้มาก มีความจริงใจกับเกษตรกร เพราะจะเป็นบทการส่งเสริมเกษตรกรให้มีความมั่นคงและมั่งคั่งด้านอาชีพขึ้นมา เมื่อเกษตรกรอยู่ได้ ผลพลอยได้ในเชิงบวกต่อสังคมก็จะมีขึ้นอย่าง เช่น ปัญหาการเสพติ การพนัน โจรกรรม ก็ลดน้อยลงไป จนเกือบจะไม่มี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ครูจันทร์พันธุ์ปาล์ม 161 หมู่ 7 ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร โทร.08-1894-8187

ข้อมูลจาก : นิตยสารพืชพลังงาน ฉบับที่ 53/2555 หน้า 28

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประมวลองค์ความรู้สู่ พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ตอนที่ 2

นายอำพล แดงบรรจง
เมื่อพูดถึงเรื่องของสายพันธุ์ แม้ว่าสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันเมืองไทยจะมีจำหน่ายอยู่มากมายและหลายบริษัทที่ได้รับความนิยม และไว้วางใจด้านคุณภาพต้นกล้าจากเกษตรกร สำหรับ บริษัท สินธุเศรษฐ์ จำกัด ก็เช่นกันที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเนื่องจากประสิทธิภาพในการให้ผลผลิตต่อไร่ และเปอร์เซ็นต์น้ำมัน

แม้ว่า นายวิสันต์ สินธุนนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สินธุเศรษฐ์ จำกัด ไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมงานได้ เนื่องจากติดภารกิจด่วน แต่เขาได้ส่ง นายอำพล แดงบรรจง หลานชายที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงมาร่วมเสวนาในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังพร้อมกล่าวให้ผู้เข้าร่วมเสวนาฟังว่า

มีหลายครั้งเช่นกันที่จะหลีกไม่พ้นเรื่องของจำนวนต้นที่ปลูก/ไร่ระหว่าปาล์มสายพันธุ์คอมแพ็คท์ ที่สามารถปลูกได้ 28 ต้น/ไร่ ในขณะที่สายพันธุ์ทั่วไปปลูกได้เพียง 26 ต้น/ไร่ นายอำพล ไม่อธิบายอะไรมาก เพราะอธิบายกันมามาก และเกือบทุกเวทีเลยก็ว่าได้ หากแต่ท้าพิสูจน์โดยการให้เข้าดูแปลงปลูกที่ทางบริษัทได้ปลูกไว้ รวมทั้งแปลงปลูกที่เกษตรกรหลายๆพื้นที่นำไปปลูกที่มีปาล์มตั้งแต่อายุ 3 ปี ไปจนถึงปาล์มใหญ่

เราจะไม่พูดเรื่องตัวเลขว่าเป็นอย่างไร แต่ว่าเราเปิดให้ทุกท่านที่สนใจและทดลองเรื่องของ ปริมาณผลผลิตต่อไร่ ต่อปี ตลอดจนตรวจสอบเรื่องเปอร์เซ็นต์น้ำมัน เพราะทางบริษัทเองก็มีความมั่นใจในระดับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของสายพันธุ์ ทั้งนี้เราก็ได้ปลูกเป็นแปลงตัวอย่างให้เกษตรกรได้ดูโดยได้นำไปปลูกในเขตหนองเสือกว่า 3,000 ไร่ และที่ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว อีก 1,500 ไร่ ทั้งนี้ได้กระจายไปปลูกในเขตอื่นๆอย่าง จ.กาญจนบุรี พื้นที่ที่มีข้อกังขาในเรื่องของปริมาณน้ำ เป็นต้น จากที่ผ่านมาทางเราก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นที่น่าพึงพอใจในเรื่องของเกษตรกรที่ซื้อพันธุ์เราไปปลูก ซึ่งเขาเองก็ได้ทำการทดลองด้วยตัวเองโดยการปลูกเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นด้วยเช่นกัน”

แม้ว่าการกระจายสายพันธุ์ปลูกในแต่ละพื้นที่ทางบริษัทจะมีการสอบถามลูกค้าทุกครั้งปลูกที่ไหน และมีแหล่งน้ำหรือไม่ หากมองดูเสี่ยงเกินไปทางบริษัทก็ไม่จำหน่ายสายพันธุ์ให้เช่นกัน ดังนั้นการบริการหลังการขาย และแผนการตลาดจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากเพื่ออธิบายความชัดเจนจนให้เกษตรกรได้รับทราบ

“สำหรับเรื่องของเปอร์เซ็นต์น้ำมันทางบริษัทเราจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก มีการสุ่มตัวอย่างเพื่อเช็คเปอร์เซ็นต์น้ำมันอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงนั้นจะเป็นเครื่องการันตีให้เราได้ว่าสายพันธุ์จากทางบริษัทเราให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับเกษตรกรจริงๆ ที่ผ่านมาปาล์มน้ำมันสายพันธุ์คอมแพ็คท์ยังเป็นส่วนน้อยในการที่เขามาแชร์ความนิยมดั้งเดิมในเรื่องของการรับซื้อแบบกำหนดราคา/กิโลกรัม หรือ ซื้อรวม เขาไม่เสียเวลามาซื้อแบบเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ยังเป็นส่วนน้อย แต่คาดว่าในอนาคตความโชคดีต้องเข้าข้างผู้ที่ปลูกปาล์มน้ำมันสายพันธุ์ที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันดีๆอย่างแน่นอน”

อาจจะเป็นอีกท่านหนึ่งที่ไม่ถนัดในการพูดสักเท่าไร หากแต่ผลงานในเชิงปฏิบัตินั้นจะเป็นคำอธิบายข้อสงสัยทั้งหมดของทุกเรื่องราว ทั้งนี้ทั้งนั้นในการขายของ บจก.สินธุเศรษฐ์ ก็ยังคงเน้นในการสอบถามถึงความพร้อมของสภาพพื้นที่เพื่อนำข้อมูลมาตัดสินใจการขายด้วยเช่นกัน หากพื้นที่นั้นๆไม่พร้อม การจำหน่ายต้นพันธุ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

3.กำหนดให้มีกฎข้อบังคับอย่างเข้มงวดด้านมาตรฐานโรงงาน และ ลานเท       

นายสุวิทย์ พยัพพานนท์
เป็นหัวข้อถกเถียงที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กันสักที่เรียกได้ว่าสู้กันทั้งบนดิน ใต้ดิน จนสะเทือนไปทั่ววงการเรื่องของมาตรฐานโรงงาน และลานเท เพราะไม่รู้ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายทำให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันขาดหายไป เอาเป็นว่าลองฟังเสียงของผู้ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องของลานเท และโรงงานดูบ้างว่ามีความเห็นอย่างไร แล้วค่อยไปฟังผู้ที่ดำเนินงานด้านโรงงานกันต่อ
สุวิทย์ พยัพพานนท์ ผู้เขย่าวงการปาล์มน้ำมันด้วยผลงานการให้ปุ๋ยด้วยการเจาะต้น ซึ่งก็ได้รับความฮือฮาอย่างมากจากหลายๆฝ่ายของคนวงการปาล์มน้ำมันถึง “ผลดี ผลเสีย” วิธีดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องนั้นก็ต้องสอบถามรายละเอียดเชิงลึกโดยตรงกันอีกทีแล้วกัน


กลับมายังหัวโขนอีกหัวที่เขาสวมอยู่นั้นคือ อุตสาหกรรมจังหวัดระนอง สุวิทย์ พยัพพานนท์ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับปาล์มน้ำมันมานาน และเป็นผู้ที่มีแนวคิดที่ได้จากการลงพื้นที่ดูงานต่างๆมาประมวลให้สมาชิก และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมในการประชุมต่างๆอย่างครั้งนี้ เขายกตัวอย่าง อุตสาหกรรมของประเทศจีนได้มีโอกาสได้เดินทางไปดูงานมาทำให้ทราบมาเบื้องหลังของความสำเร็จ และการทำงานอย่างเป็นระบบของประเทศจีน เพราะมีการผลักดันอย่างชัดเจนของรัฐบาล เช่นใครสนใจเรื่องปาล์มก็รวบรวมสมาชิกมาแล้วเรียนรู้เรื่องนั้นโดยตรง และจริงจัง นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจเรียนรู้เมื่อเรียนเสร็จลงมือปฏิบัติทันที

จะเห็นได้ว่าข้อมูลเบื้องต้นที่อุตสาหกรรมจังหวัดระนองกล่าวมานั้นจะสอดคล้องกับ น.ต.ถนิต พรหมสถิต ที่ว่าควรจะผลักดันให้เกิดคลัสเตอร์ปาล์ม เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง อย่างประเทศจีนที่เขาก้าวหน้าในเรื่องของผลผลิตที่ดีเมื่อเทียบกับต้นทุนในการผลิต

นอกจากนั้นนายสุวิทย์ยังเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเหมือน “ลับ ลวง พลาง” ของโรงงานหีบเมืองไทยให้ทราบถึงส่วนได้ ส่วนเสียให้สื่อ และผู้เข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ให้ทราบว่า

“ในการตั้งโรงงานด้วยต้นทุนไม่ต่ำกว่า 300 ล้านได้และดำเนินงานพร้อมได้กำไรนอกเหนือจากรายได้ที่ได้จากปรายโปรดักส์แล้ว ยังมีส่วนที่ทางโรงงานไม่ได้บอกให้เกษตรกรทราบ คือ น้ำมันเมล็ดใน, ทะลายเปล่า, กะลาปาล์ม เป็นต้น ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็สามารถสร้างเงินให้มากเช่นกัน โดยเฉพาะที่ชาวสวนเสียเปรียบที่เห็นได้ชัดคือโรงงานไม่ได้คิดในส่วนของน้ำมันเมล็ดใน”

นายสุระ  ตั๊นวิเศษ 
สำหรับ นายสุระ ตั๊นวิเศษ ฝ่ายส่งเสริมวิชาการ ตัวแทนจาก บริษัท สุขสมบูรณ์ น้ำมันปาล์ม จำกัด แสดงความคิดเห็นในมุมมองส่วนตัวว่าประเทศไทยเปิดเสรีเรื่องลานเทมากจนเกินไป ประมาณการณ์คร่าวๆแต่ละจังหวัดมีลานเทเกือบร้อยลาน เมื่อมีการเปิดเสรีใครใคร่จะทำก็ทำ จนลานเทเกลื่อนกลาดไปทั่วเมืองสิ่งที่ตามมาคือคุณภาพของผลผลิตกว่าจะถึงโรงงาน ก็สูญเสียไปมากแล้ว
                “ที่ผ่านมา หรือแม้แต่ปัจจุบันแปลกใจไหมว่า ทำไมลานเทสามารถซื้อผลผลิตปาล์มราคาสูงกว่าหน้าโรงงานได้ นั่นเพราะเขานำทะลายปาล์มมาผ่านกระบวนการที่จะได้มาซึ่งลูกร่วงเพราะราคาลูกร่วงสูงกว่าปาล์มทะลายนั่นเอง ผมเคยเห็นบางช่วงที่ผ่านมาราคาปาล์มทะลายกิโลกรัมละ 7 บาท แต่ราคาลูกร่วงอยู่ที่กิโลกรัมละ 14 บาท ผมถามตรงๆว่าภาครัฐเคยลงมาดูจุดนี้ไหม จริงๆแล้วควรมีข้อบังคับถ้าโรงใหญ่ซื้อปาล์มทะลาย โรงเล็กก็ต้องซื้อปาล์มทะลายด้วย หากรับซื้อแต่ลูกร่วงมาเกรงว่าอนาคตต่อไปเหล่าลานเทคงได้ทำตะแกรงสั่นกันแน่นอน เพราะทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็มีตะแกรงกันแล้วเพียงแค่ยังไม่สั่นเท่านั้นเอง หากยังปล่อยปะละเลยเรื่องนี้อยู่ ซ้ำร้ายอาจจะมีการพรมน้ำด้วยอย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ ปฐมเหตุที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของเกษตรกรสวนปาล์มนั้น นอกจากเกษตรกรบางรายเองที่ตัดปาล์มดิบจำหน่ายแล้ว เกษตรกรที่ตัดปาล์มสุกมาจำหน่ายยังต้องเผชิญกับปัญหาจากถูกเอารัดเอาเปรียบโดยพ่อค้าคนกลาง หรือในวงการเรียกกันว่า ลานเท บางลานที่ไม่มีมาตรฐานในการรับซื้อ และไม่มีความชื่อสัตย์ต่ออาชีพของตนเอง

ลานเทมีหน้าที่รับซื้อปาล์มจากเกษตรกร แล้วนำไปขายต่อให้โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปปาล์ม เล่เหลี่ยมที่ลานเทบางลานใช้ คือ การโกงตาชั่ง ซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่อชาวสวนตัดปาล์มมาขาย จะฉีกน้ำและทรายเข้าในผลปาล์ม เพื่อให้เมล็ดปาล์มส่วนที่ดี ที่เรียกกันว่า ลูกร่วง หลุดออกมาแล้วนำขายโรงงานเอง หรือบางลานสร้างตะแกรงไว้ เมื่อรับซื้อผลผลิตมาก็ทิ้งผลผลิตลงตะแกรงเกิดลูกร่วง จากนั้นก็ได้ปาล์มทะลายที่เหลือไม่ต่างจากซากทะลายเปล่าส่งเข้าโรงงาน ทำให้ผลผลิตปาล์มที่ชาวบ้านส่งมาขายเหลือแต่ปาล์มคุณภาพต่ำ เมื่อส่งไปเข้าโรงงานสกัดแล้วจะได้น้ำมันคุณภาพต่ำ โรงงานจึงกลับมากดราคารับซื้อจากชาวสวนอีกต่อ ส่วนลานเทนอกจากจะได้กำไรจากผลต่างราคารับซื้อขายแล้ว ยังได้กำไรจากการแอบลักลอบขายลูกร่วงของชาวสวนอีกต่อ

“ผมเองก็ต้องการให้ราคาปาล์มน้ำมันอยู่ที่ 7 บาท เพราะนั่นจะช่วยให้ระบบต่างๆในภาคอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเดินสะดวกขึ้น แต่เมื่อเราได้ผลผลิตที่ด้อยคุณภาพเข้ากระบวนการหีบ ต้นทุนในกระบวนการสูงขึ้น ถามว่าโรงงานจะอยู่ได้ไหม ก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นรัฐควรมีกฎข้อบังคับตั้งแต่โรงงานลงมาเลยดีกว่าสมมติว่ากำหนดไปเลยให้ที่ 17% ยืนพื้นเป็นมาตรฐานไว้ถ้าโรงไหนทำไม่ถึงต้องให้หยุดปรับปรุง ผมมีประสบการณ์ทำงานอยู่กับโรงงานอ้อยเขามีระบบ CCS. โรงไหนทำไม่ถึง 10 CCS.โรงนั้นจะถูกปรับตาม CCS.ที่ขาดไป ยกตัวอย่างโรงงาน ก.รับซื้ออ้อยทุกมาตรฐานเลย ไม่คัดแยกประเภทอ้อยเผาตอ หรือ อ้อยสด จากนั้นนำมาเข้ากระบวนการหีบผลออกมาได้เพียง 9 CCS. ซึ่งราคากลางหรือมาตรฐานต้องได้ไม่ต่ำกว่า 10 CCS. จะต้องเสียค่าปรับ ในขณะที่โรงงาน ข.หีบแล้วได้มากกว่า 10 CCS. ก็สามารถได้เงินเพิ่มตาม CCS. ที่เพิ่มขึ้น
ลานเทเองจะเป็นอะไรมากไหมหากไม่ทำตะแกรงแยกลูกร่วง ไม่ทำให้เกิดลูกร่วงผิดธรรมชาติ ผมมองว่าถ้ามีกฎตรงนี้จะช่วยให้ส่วนที่เราสูญเสียไปก็จะได้กลับมา”

เมื่อมีกฎและข้อบังคับในส่วนของลานเท และโรงงานแล้ว ในส่วนของเกษตรกรเองก็ต้องเข้มงวด เกษตรกรไม่ควรใจง่ายเกินไป เห็นเพื่อนปลูกก็ปลูก ซึ่งนั่นจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดหลายๆอย่างทั้งเรื่องสายพันธุ์ การจัดการสวน และการเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละพื้นที่ได้ส่งนักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูบ้างหรือไม่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วได้ผลผลิตดีไหมโดยเฉพาะภาคอีสาน ตอนนี้นักวิชาการมีแต่คัดค้านเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่าง การปลูกปาล์มน้ำมันที่หนองเสือช่วงแรกก็มีนักวิชาการคัดค้านว่าปลูกไม่ได้เพราะดินเปียวเกิน หรือ ตอนนี้ปลูกที่ภาคอีสาน ก็ค้านว่าไม่ได้ที่มันแล้ง ปริมาณฝนไม่พอ หรือแม้กระทั่งภาคเหนืออย่าง จ.เชียงราย ก็บอกว่าปลูกไม่ได้เช่นกันเพราะอากาศเย็นหนาวเกินไป แต่ลองตรวจสอบดูจะรู้ว่าปัจจุบันนี้พวกเขาเหล่านั้นปลูกกันมาเกือบ 10 ปี แล้ว และได้ผลผลิตดีเป็นที่น่าพึงพอใจมาก

“จริงๆนักวิชาการไม่ต้องมาเบรก ให้คิดว่าเกษตรกรในพื้นที่นั้นๆอยากจะปลูกก็ไปหาแนวทางมาว่าความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน มีที่รับซื้อไหม แนะนำเขาอย่างถูกวิธี ทำให้ในพื้นที่ปลูกนั้นให้ได้แล้วหากประสบความสำเร็จเกษตรกรมีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ ผลงานนั้นก็คือของคุณ”

สำหรับเรื่องของความชื้นสัมผัส ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมามีหลายท่านบอกว่า จังหวัดชลบุรี ความชื้นสัมผัสไม่พอ ต่อมาเกษตรกรมีระบบการจัดการที่ดีจนบางสวนสามารถเก็บผลผลิตได้เฉลี่ย 4-5 ตัน/ไร่/ปี จากจังหวัดชลบุรีไปที่ภาคอีกสานจะบอกว่าไม่มีความชื้นก็ไม่ใช้โดยสิ้นเชิง เพราะภาคอีสานจะได้รับอิทธิพลความชื้นมาจากแม่น้ำโขงและฝั่งลาว เมื่อลองสังเกตดีๆสวนปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่อยู่แถบบริเวณทะเล ซึ่งจะมีความชื้นมาก สำหรับในเขตภาคอีสานเลาะแถบแม่น้ำโขงสามารถปลูกได้ทั้งนั้น

 ต่อมามองถึงสภาพการผลิตแต่ละพื้นที่ถึงภาคอีสานจะสามารถปลูกปาล์มน้ำมันได้ แต่จะคาดหวังให้ได้ผลผลิตเหมือนภาคใต้คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเกษตรกรใส่ใจ การจัดการดี น้ำและปุ๋ยเพียงพอ เก็บผลผลิตเฉลี่ย 3 ตัน/ไร่ ถือว่าเขาประสบความสำเร็จแน่นอน

“สำหรับการแนะนำเกษตรกรเรื่องของสายพันธุ์ตอนนี้ไม่มีใครเด่นกว่าใครสิ่งที่ผมแนะนำทุกครั้งที่มีโอกาสคือคุณจะซื้อพันธุ์อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นลูกผสมเทเนอรา แต่อย่างซื้อเพียงแค่เป็นเทเนอรา แต่ให้ซื้อชื่อมาด้วย ยกตัวอย่าง ลูกผสมเทเนอรา บริษัท ก. เป็นต้น”

(อ่านต่อตอนที่ 3 (จบ))