เรื่อง/ภาพ : พยัคฆ์ทมิฬ
จังหวัดชุมพรมีพื้นที่ในการปลูกปาล์มน้ำมันแหล่งใหญ่เป็นอันดับที่
3 ของประเทศไทยรองจาก จังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี
ดังนั้นวีถีต่างๆที่เป็นแนวทางในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันจึงมีให้ศึกษาหลายแง่มุม
ความตั้งใจที่นำเสนอ อีกหนึ่งมุมมองที่หลายๆท่านมองข้ามไปในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันในครั้งนี้ เพื่อเป็นเสมือนทางลัดให้ทราบว่า ที่จริงแล้วการเพิ่มผลผลิตหรือลดการสูญเสียน้ำหนักของปาล์มน้ำมันที่ยังอยู่ในสวนทำอย่างไร ทั้งนี้ผู้เขียนได้เลือกพื้นที่ไปยัง จ.ชุมพร และได้ คุณสัญญา ปานสวี นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.ชุมพร เป็นผู้อำนวยความสะดวก พร้อมเดินทางเก็บข้อมูลจากเกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย
เช้าวันที่
28 มิถุนายน 2555 ผู้เขียน พร้อมออกเดินทางไปยังสวนปาล์มน้ำมัน
20 ไร่ของ อาจารย์จรูญ ประดับการ อดีตข้าราชการครูวัย
63 ปี ที่หันมายึดอาชีพชาวสวนปาล์มน้ำมัน สร้างรายได้ช่วงบั้นปลายชีวิต
ด้วยพื้นฐานของความเป็นครูทำให้เขาเป็นผู้หนึ่งที่เป็นเกษตรกรต้นแบบ และให้คำแนะนำในการจัดการสวนที่มีประสิทธิภาพพร้อมลดต้นการผลผลิตได้ดี
เกษตรกรผู้นี้มีความรู้
และประสบการณ์ในการดูแลจัดการสวนปาล์มน้ำมัน ได้ค้นหาวิธีการลดต้นทุน
และเพิ่มผลผลิตในปาล์มน้ำมันของตนเอง
หลากหลายวิธีการจนค้นพบว่าการรักษาความชื้นในดินจะสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำหนักในทะลายปาล์มได้
“ผมทำการสังเกตมานานแล้วพบว่า ถ้าเราตัดหญ้าสั้นๆเมื่อเข้าช่วงฤดูแล้ง
เพียงเวลา 10 วัน
ทำให้น้ำหนักของทะลายปาล์ม หายไป 100 กิโลกรัม
คิดเฉลี่ยในปริมาณทั้งหมด 1,000 กิโลกรัม
แต่ถ้าปล่อยให้หญ้ายาวพอประมาณ ไม่ดูรกมากเกินไปน้ำหนักที่จะหายไปมีเพียง 30-40
กิโลกรัม/1,000 กิโลกรัมเป็นอย่างมาก”
ข้อแนะนำ การรักษาความชื้นในดินได้ดีนั้นคือปล่อยให้มีวัชพืชขึ้นปกคลุมหน้าดินบ้าง โดยเลือกวัชพืชที่มีประโยชน์อย่างเช่น หญ้ากรวมคา หรือ หญ้าข่มคา และพืชคลุมดินตระกูลถั่ว
ปลูกหญ้าข่มคา ในสวนปาล์มน้ำมันประโยชน์นานัปการ
และช่วยปรับระบบนิเวศ
ครูจรูญเล่าให้ฟังว่า
ทางเขตภาคใต้จะพบหญ้าชนิดหนึ่งที่รู้จักทั่วไปว่า “หญ้าข่มคา” เกิดขึ้นภายในสวนไม้ผล
ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ต่อมาได้มีการศึกษาเพิ่มเติมจนทราบถึงประโยชน์ของหญ้าชนิดดังกล่าวจึงทำให้เขาเกิดแนวคิดว่าจะทดลองนำหญ้าชนิดดังกล่าวมาปลูกไว้ภายในสวนบ้าง
หากมีการเปลี่ยนแปลงภายในสวนที่ดีขึ้นก็เท่ากับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี
และเป็นการพัฒนาด้านการจัดการสวนได้อีกระดับ แต่หากผลออกมาไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้จะทำลายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะหญ้าชนิดนี้เพียงแค่ถูกเหยียบย้ำมากๆก็ตายแล้ว
ครูจรูญกำลังแหวกกลุ่มหญ้าข่มคาออกเพื่ให้ดูร่องรอยการเข้าอยู่อาศัยของไส้เดือน |
หญ้าข่มคา หรือ ภาคใต้เรียกว่า หญ้าใบมัน เป็นพืชคลุมดินอย่างดี มักขึ้นในที่ร่มตามสวนไม้ผล สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน หรือในที่ที่มีฝนตกชุก พบมากทางภาคใต้ ลำต้นเล็ก สูงไม่เกิน 90 เซนติเมตร ใบยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร บริเวณฐานใบกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ลักษณะใบคล้ายใบไผ่ ช่อดอกมีลักษณะเป็นแฉก ลักษณะลำต้นเป็นเถาคลุมพืชต้นเตี้ยอื่น ๆ เช่น หญ้าคา ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หญ้าข่มคา”
“คนทั่วไปเขารังเกียจ
คิดว่ามันรก เกะกะ ทำรายยากและไม่มีประโยชน์ใดๆ ผมได้มาสังเกตการณ์เจริญเติบโต
และศึกษาถึงข้อดี ข้อเสียของหญ้าชนิดนี้
จนทราบว่าสามารถช่วยควบคุมความชื้นในดินได้อย่างดี
และที่สำคัญทำให้เกิดมีไส้เดือนมาก
ซึ่งนับว่าเป็นผลดีที่เดียวหากนำมาปลูกในสวนปาล์ม”
ต่อมาคุณจรูญได้นำหญ้าข่มคามาปลูกที่สวนปาล์มเพื่อให้รักษาความชื้อภายในสวน
โดยมีขั้นตอนการเตรียมต้นพันธุ์และการปลูกดังนี้
ขี้ไส้เดือนร่องรอยของการอยู่อาศัย ซึ่งส่วนนี้จะเป็นปุ๋ยแก่ต้นปาล์มได้อย่างดี |
เริ่มจากหาหญ้าข่มคาจากแหล่งที่มี
แล้วใช้จอบหรือเสียมขุดออกมา จากนั้นตัดต้นของหญ้าข่มคาขนาดความยาวประมาณ 1 คืบ เพื่อให้เกิดการแตกยอดใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้นแบ่งออกประมาณ
1 กำมือต่อการปลูก 1 หลุม
สำหรับขั้นตอนการปลูก
ควรมีการเตรียมพื้นที่สักเล็กน้อยด้วยการพรวนดินและตัดหญ้าเก่าออกให้หมด
แล้วขุดหลุมปลูกให้ความห่างระหว่าต้นและแถวประมาณ 50
เซนติเมตร ที่สำคัญให้ห่างจากโคนต้นปาล์มน้ำมันประมาณ 1.50
เมตร
หญ้าข่มคาเป็นพืชที่มีความอดทนต่อการขาดน้ำได้ดี
เพียงระยะเวลา 2
ปีก็สามารถเจริญเติบโตได้เต็มพื้นที่แล้ว
ในการดูแลไม่ให้สูงเกินไปควรมีการตัดปีละครั้งโดยตัดให้สูงจากพื้นประมาณ 30 เซนติเมตร
ครูจรูญอธิบายถึงประโยชน์ของหญ้าชนิดนี้ให้ฟังต่อว่า
หญ้าข่มคาสามารถรักษาความชื้นในดินไว้ได้นาน โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง
ส่งผลให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาทำให้ปาล์มไม่ขาดน้ำ
นอกจากนั้นยังสามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศและในดิน
ซึ่งมาจาก ปม หรือ ราก แล้วเปลี่ยนให้เป็นสารประกอบไนโตรเจนได้แก่ ไนเตรต และ
เกลือแอมโมเนีย ที่มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี
ปาล์มจะสามารถดูดซึมสารประกอบเหล่านนี้แล้วนำมาสังเคราะห์เป็นโปรตีน
ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
แน่นอนผลพลอยได้ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ตามมาในการปลูกพืชคลุมดิน
เมื่อดินมีความชุ่มชื้นก็ส่งผลให้มีการเข้ามาอยู่อาศัยของไส้เดือน
เมื่อมีไส้เดือนดินที่เคยแข่งแน่นก็กลายเป็นทำให้ดินมีความโปรงซุย
รากปาล์มจึงหาอาหารได้ดีขึ้น พร้อมทั้งมูลไส้เดือนยังเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย
คุณจรูญยังบอกอีกว่าบริเวณใดมีหญ้าคาเกิดขึ้นแล้วนำหญ้าข่มคาไปปลูกเมื่อโตขึ้นหญ้าคาก็จะค่อยๆตายไป
เพราะลักษณะนิสัยการเจริญเติบโตของหญ้าคาจะชอบในที่โล่งแจ้ง
แต่เมื่อหญ้าข่มคาที่เป็นพืชเถาและเกิดติดกันจนทึบจึงทำให้หญ้าคาเจริญเติบโตไม่ได้
ซึ่งในแง่มุมนี้ยังช่วยให้ลดการใช้สารเคมีกำจัดหญ้าคา ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“จากการทดทองไว้หญ้าคลุมดินให้ยาวหลายชนิด เพื่อทดสอบการเก็บความชื้น
ปริมาณการเข้าอยู่อาศัยของไส้เดือน และความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน ปรากฏว่า
หญ้ากรวมคา (ชื่อเรียกตามภาษาถิ่นใต้) หรือ หญ้าข่มคา มีปริมาณไส้เดือนมาอาศัยอยู่มากที่สุด
ดินโปรง และอุ้มน้ำหรือเก็บความชื้นได้ดี” ข้อสรุปของการปลูกพืชคลุมดินที่ตอบโจทย์ได้ครบถ้วน
ครั้งต่อไป อาจารย์จรูญ ประดับการ จะมีเทคนิคการจัดการสวนปาล์มน้ำมันอย่างไรให้ได้ผลผลิตดีมากฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันต่อด้วยนะคะ
ข้อมูลจาก นิตยสารพืชพลังงาน ฉบับที่ 52/2555 หน้าที่ 32